วันบ้านแปดอุ้มแตก
เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้าน
ปี พ.ศ.2495
คอมมิวนิสต์เข้ามาก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน มีการปล้น
ระเบิดเส้นทางคมนาคม
ตำรวจตระเวนชายแดนเข้ามาดูแลในพื้นที่และมีการจัดตั้งพวกชาวบ้านเป็นอาสาสมัคร(
อส.)
เพื่อทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามพวกคอมมิวนิสต์ [1]
เมื่อปี 2512
ได้มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และกองกำลังต่างชาติเข้ามาแทรกซึมในพื้นที่ตำบลโดมประดิษฐ์
ด้วยการแสวงหาพรรคพวกซ่องสุมกำลังพลและอาวุธ ปลุกระดมชวนเชื่อ
ดักซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกรูปแบบ
ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ตกอยู่ในภาวะจำยอม
ทำให้ราชการปรับนโยบายการต่อสู้ทางการเมืองมาโดยตลอด โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี
นายวิเชียร สีมันตร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินการก่อตั้ง
กิ่งอำเภอน้ำยืน เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ร่วมกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มพลังต่าง
ๆ ต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามตลอดมา[2]
ปี
พ.ศ.2520 รัฐบาลเข้ามาสนใจจริงจัง
มีหน่วยงานทางราชการที่เข้ามาสำรวจพื้นที่ครั้งแรก คือ หน่วยงานทหารกล้า และมีการสร้างถนนลาดยาง ต่อมาบ้านค้อ ได้ประกาศจัดตั้งให้เป็นหมู่บ้าน
ปชด. ปี พ.ศ. 2522 และประกาศจัดตั้งให้เป็นหมู่บ้าน
อพป. ปี พ.ศ. 2524
และในปีเดียวกันนั่นเองหลังจากสร้างถนนเสร็จก็เกิดสงครามพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประมาณปี
2528-2530
หลังจากสงครามสงบปีประมาณ พ.ศ.2533-2534 เริ่มมีไฟฟ้าใช้ในหมู่บ้าน
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 เวลาประมาณ 18 นาฬิกาเศษ
ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ร่วมกับกองกำลังต่างชาติ (เขมรแดง) ประมาณ 200 คน เข้าโจมตีบ้านแปดอุ้มด้วยอาวุธนานาชนิด ขณะนั้นนายวิชิต วิจิตรกุล เป็นนายอำเภอน้ำยืน นายวัน ขุมาลี
เป็นผู้ใหญ่บ้านแปดอุ้ม เจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครรักษาดินแดนได้ร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจพลเรือน
ตำรวจ ทหาร 213 นาย
(พตท.213) และไทยอาสาป้องกันชาติบ้านแปดอุ้มทำการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งทรัพย์สินและอธิปไตยของหมู่บ้านจนถึงเวลา
09.00 น. ฝ่ายตรงข้ามจึงล่าถอยไป ยังผลให้สูญเสียดังนี้
- อาสาสมัครรักษาดินแดนเสียชีวิต 1 นาย(อส.เฉลิม วิลานันท์)
- ไทยอาสาป้องกันชาติเสียชีวิต 1 คน นายบัวทอน บัวบาล)
- ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษบาดเจ็บ
1 นาย
- โรงเรียนถูกกระสุนเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจีเสียหาย 1 หลัง
- ราษฎรถูกกวาดต้อนไป 241 คน
- ฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิต
35 คน บาดเจ็บ 20 คน
ราษฎรที่ถูกกวาดต้อนไปได้ถูกกักกันไว้ที่บ้านสะเตรียลกวล เขตอำเภอจอมกระสาน ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย
ซึ่งเป็นสำนักงานการเกษตรของฝ่ายเขมรแดง (พลพต) ราษฎรดังกล่าวอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ปี
ได้ทยอยหลบหนีมาบ้าง ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลเฮ็งสัมรินได้ทำการกวาดล้างเขมรแดงกลุ่มนี้
ราษฎรบ้านแปดอุ้มจึงพากันหลบหนีมาได้ ที่เสียชีวิตก็หลายคน
พุทธศักราช 2522 ทางราชการได้ส่งหน่วยพัฒนาที่ดิน
และประชาสงเคราะห์เข้าจัดสรรที่ดิน ซึ่งเป็นที่อยู่และที่ทำกินในราษฎรบ้านแปดอุ้ม
พร้อมปลูกสร้างบ้านพักอาศัยให้ครอบครัวละ 1 หลัง ในเนื้อที่ 1 ไร่ จำนวน 95
หลัง และที่ดินครอบครัวละ 25 ไร่
พร้อมสิ่งสาธารณูปโภคครบครัน และโรงเรียนในทำเลใหม่ บริเวณทางหลวง 2248 ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 57-58 พิกัด W.A.
190941 ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านเดิมมาทางทิศเหนือประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านมาจนถึงปัจจุบัน
ปีพุทธศักราช 2525 กลุ่มเขมรแดงถูกรัฐบาลเฮงสัมรินกวาดล้างอย่างหนัก
ได้อพยพเข้ามาอยู่บริเวณด้านตะวันตกของลำห้วยบอน (บริเวณบ้านแปดอุ้มเก่า)
มีเหตุการณ์สู้รบระหว่างเขมรแดงและรัฐบาลเฮงสัมริน โดยการสนับสนุนของเวียดนาม
ได้ติดตามกวาดล้างกลุ่มเขมรแดง โดยมาตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในบริเวณเนิน 500 และเนินอื่น ๆ ตามบริเวณชายแดน
เพื่อป้องกันมิให้กลุ่มเขมรแดงเข้าไปปฏิบัติการใด
ๆในประเทศสาธารณรัฐกัมพูชาประชาธิปไตย จากการสู้รบกันนั้น
ทำให้มีกระสุนปืนใหญ่ตกเข้ามาในเขตไทย โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบของบ้านแปดอุ้มบ่อยครั้ง
ทำให้ราษฎรทำมาหาเลี้ยงชีพเป็นไปอย่างยากลำบาก หลายคนเสียชีวิต
เพราะไปเหยียบกับระเบิดที่ถูกวางไว้ตามเนินเขา และแนวชายแดน
ปีพุทธศักราช 2528 ทางราชการได้อพยพกลุ่มเขมรแดงออกจากบริเวณตะวันตกของถ้ำบอน
(บ้านแปดอุ้มเก่า) ไปอยู่ศูนย์อพยพเขาอีด่าง จังหวัดปราจีนบุรี
ปีพุทธศักราช 2529 รัฐบาลไทยเริ่มยุทธการผลักดันกองกำลังเขมรเฮงสัมริน
ที่ตั้งฐานปฏิบัติอยู่ตามเนินต่าง ๆ ในเทือกเขาพนมดงรักแนวชายแดนไทย เขมร ลาว
โดยเฉพาะในเนิน 500 และบริเวณช่องบก เกิดการสู้รบอย่างรุนแรง
มีการใช้อาวุธหนักปะทะกันตลอดเวลา กระสุนใหญ่ตกเข้ามาในเขตไทยเป็นระยะ
ทางราชการเกรงว่าราษฎรจะได้รับอันตราย
จึงได้สร้างหลุมหลบภัยให้กับทุกหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-เขมร
และอพยพราษฎรบ้านแปดอุ้ม บ้านโนนสูง บ้านค้อ บ้านจันลา และบ้านแข้ด่อน บางส่วน
โดยเฉพาะผู้หญิง เด็กและคนชราไปอยู่ที่บ้านปลาขาว บ้านแก้งโตน
และบ้านบุเปือยเป็นการชั่วคราว
การผลักดันกองกำลังต่างชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปลายปีพุทธศักราช
2530 จึงสามารถผลักดันกองกำลังต่างชาติออกจากเนินต่าง ๆ
ตามแนวชายแดนได้ [3]
ในปี
พ.ศ. 2512
ได้มีการตั้งกิ่งอำเภอน้ำยืนขึ้น
ในปี
พ.ศ. 2513 รพช.ได้ตัดถนนลูกรัง
ซึ่งก็คือแนวเส้นทางในปัจจุบัน และเริ่มมีรถวิ่งโดยเฉพาะรถลากซุงไม้
ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่สัญจรไปมาด้วยวัวเทียมเกวียน
สมัยก่อนชาวบ้านต้องเอาข้าวไปสีไกลถึงบ้านบุเปือย
นอกจากนี้เจ้าของโรงสีซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของพ่อบักล้อม
ที่บ้านพ่อบักล้อมจะมีโทรทัศน์ขาวดำ เครื่องเดียวในหมู่บ้าน
โดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ ตอนหัวค่ำชาวบ้านจะพากันมาดูโทรทัศน์กันมาก
ละครที่โปรดปรานในสมัยนั้นก็คือ เรื่องสุพรรณหงษ์
ในปี 2516 นายวิเชียร สีมันตร
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้ดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินให้ราษฎรเป็นล็อกๆ
ละ 20
ไร่ ประมาณ 40
แปลง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 เริ่มมีการสร้างถนนลาดยาง
ในปี
พ.ศ. 2528-2530
มีสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนบริเวณช่องอานม้า
มีทหารเข้ามาในพื้นที่มากขึ้นช่วงแรก ๆ
ที่มีการรบกันเสียงปืนใหญ่ดังมากจนหลังคาบ้านสั่นสะเทือน ชาวบ้านกลัวลูกปืนใหญ่จะมาตกในหมู่บ้าน
เห็นหมู่บ้านอื่นทำหลุมหลบภัย
ชาวบ้านนาสามัคคีก็พากันทำหลุมหลบภัยไว้หลังบ้านเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมีการรบกันบ่อย ๆ ชาวบ้านก็เกิดเคยชิน
บางคนเลยมองเป็นเรื่องสนุก วันไหนไม่ได้ยินเสียงปืนมักนอนไม่ค่อยหลับ และในปี พ.ศ.
2530
ชาวบ้านเปลี่ยนจากตะเกียงน้ำมันก๊าดมาใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอได้รณรงค์ทำส้วมในหมู่บ้านแทนการไปถ่ายทุกข์ในป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน
และเป็นช่วงที่รณรงค์ให้ชาวบ้านมีลูกแค่ 2 คน
แทนความเชื่อที่มีลูกมากยิ่งดี เพราะช่วยเป็นแรงงานในการทำนาในครอบครัว
เพราะสมัยก่อนผู้ที่จบ ป.6
แล้วไม่ได้เรียนต่อก็มักจะช่วยพ่อแม่เลี้ยงวัว- เลี้ยงควาย ทำนาทำไร่
บางคนก็ไปทำงานที่กรุงเทพ บางคนเรียนจบมาปี 2-3 ปี
พ่อแม่ก็หาคู่ครองให้
ในสมัยนั้นบ้านนาสามัคคีมีคนเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาปีละคนสองคนเท่านั้น
ในปีพ.ศ. 2533 เริ่มมีผู้นำรถไถนาเดินตามมาใช้ในหมู่บ้าน พอชาวบ้านคนอื่น ๆ
เห็นว่าไถนาได้เร็วกว่าควายมาก ประหยัดเวลาและแรงงานมาก
ก็เกิดความนิยมซื้อรถไถนากันมาก
ต่างก็พากันไปกู้ ธกส.มาซื้อกัน บางรายก็เริ่มขายวัว ควาย เพราะไม่มีเวลาเลี้ยง ปริมาณวัว ควายก็เริ่มลดลง[4]