ตั้งอยู่บ้านสวายน้อย
ตำบลยางใหญ่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ห่างจากอำเภอน้ำยืน
17 กิโลเมตร ห่างจากวัดสวายน้อยไปทางทิศเหนือประมาณ 80 เมตร ตั้งอยู่ตอนกลางของหมู่บ้าน
พบเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2542 ห่างจากวัดสวายน้อยไปทางทิศเหนือประมาณ 30 เมตร ตั้งอยู่ตอนกลางของหมู่บ้าน ลักษณะดินเป็นที่ราบขั้นบันได สูงจากเส้นระดับน้ำทะเลปานกลาง 162 เมตร เกิดจากการทับถมของตะกอนลำน้ำเก่า บริเวณนี้จัดเป็นดินในชุดโคราช (ร่วนปนทราย สีน้ำตาลปนเทา) และบริเวณนี้มีศิลาแลง (Laterite) จากการสำรวจได้พบโครงกระดูกมนุษย์มีชิ้นส่วนกระดูกแขน ขา ฟันกรามล่าง แต่กระดูกทั้งหมดอยู่ไม่ครบอาจเป็นการฝังศพครั้งที่ 2 พบเศษภาชนะดินเผา เป็นภาชนะดินเผาเนื้อดินละเอียด ค่อนข้างบาง ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน มีทั้งตกแต่งลวดลายและแบบผิวเรียบ พบขวานหินขัด 3 ชิ้น ประมาณว่าน่าจะอยู่ระยะก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายราว 2,300 – 1,800 ปีมาแล้ว(กณวรรธน์ สุทธัง, ๒๕๕๐,๒๒)
พบเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2542 ห่างจากวัดสวายน้อยไปทางทิศเหนือประมาณ 30 เมตร ตั้งอยู่ตอนกลางของหมู่บ้าน ลักษณะดินเป็นที่ราบขั้นบันได สูงจากเส้นระดับน้ำทะเลปานกลาง 162 เมตร เกิดจากการทับถมของตะกอนลำน้ำเก่า บริเวณนี้จัดเป็นดินในชุดโคราช (ร่วนปนทราย สีน้ำตาลปนเทา) และบริเวณนี้มีศิลาแลง (Laterite) จากการสำรวจได้พบโครงกระดูกมนุษย์มีชิ้นส่วนกระดูกแขน ขา ฟันกรามล่าง แต่กระดูกทั้งหมดอยู่ไม่ครบอาจเป็นการฝังศพครั้งที่ 2 พบเศษภาชนะดินเผา เป็นภาชนะดินเผาเนื้อดินละเอียด ค่อนข้างบาง ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน มีทั้งตกแต่งลวดลายและแบบผิวเรียบ พบขวานหินขัด 3 ชิ้น ประมาณว่าน่าจะอยู่ระยะก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายราว 2,300 – 1,800 ปีมาแล้ว(กณวรรธน์ สุทธัง, ๒๕๕๐,๒๒)
จากการค้นพบเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2542 โดยนายประสิทธิ์ โสภาราษฎรบ้านสวายน้อย
ตำบลยางใหญ่ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และโบราณวัตถุจำนวนหนึ่ง ทางโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่
8 จึงได้ออกสำรวจพื้นที่ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม
2542 จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นแหล่งฝังศพ
โดยอาจจะเป็นการฝังครั้งที่ 2 เนื่องจากกระดูกในร่างกายเหลืออยู่ไม่ครบทุกส่วน
ข้อสังเกตเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี
1.ชุมชนโบราณที่พบขวานหิน ในเขต
จังหวัดอุบลราชธานี นั้นมักเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยตามถ้ำหรือเพิงผา
บนเทือกเขาแถบแม่น้ำโขง ได้แก่ แหล่งโบราณคดีผาแต้ม บ้านกุ่ม อำเภอโขงเจียม
พบขวานหินกะเทาะ/ แหล่งโบราณคดีถ้ำลายมือ บ้านปากลา อำเภอโขงเจียม พบขวานหินกะเทาะ
-เพิงผาถ้ำช้างสี/ตาลาว อำเภอเขมราฐ พบขวานหินกะเทาะ
แหล่งโบราณคดีในพื้นที่ราบนั้นพบเพียง 1
แห่ง คือที่บ้านสำราญ ตำบลหัวเรือ อำเภอเมือง พบขวานหินขัด 2-3 ชิ้น อายุราว
2,500-1,800 ปีมาแล้ว 2. แหล่งโบราณคดีโดยรอบเท่าที่พบในขณะนั้น เป็นแหล่งที่มีอายุอยู่ในระยะสมัยประวัติศาสตร์ลพบุรี
ด้วยข้อสังเกตข้างต้น บ้านสวายน้อยจึงถือเป็นแหล่งที่น่าสนใจมากแหล่งหนึ่ง และเป็นไปได้หรือไม่ว่าหลักฐานทางโบราณคดีที่พบจะเป็นของกลุ่มเร่ร่อน เคลื่อนย้ายที่อยู่เสมอๆ และมีความสัมพันธ์กับชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้โดยผ่านทางลำโดมใหญ่นั้นมา ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงข้อคิดเห็นเบื้องต้นเท่านั้น หากพบหลักฐานใหม่ๆ หรือได้หลักฐานเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีที่พบเครื่องมือหิน และเศษภาชนะดินเผา ลักษณะใกล้เคียงกับหลักฐานที่นี่ในเขตประเทศกัมพูชา ก็อาจจะเป็นข้อมูลใหม่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์โบราณคดีอย่างมาก (สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี.2542,1-4.)
จากการวิเคราะห์ความเชื่อเรื่องหินตั้ง
(Megalith) ในลักษณะความเชื่อทางศาสนาและพิธีศพและความเชื่อในอมตภาพของวิญญาณ
กรรม และ การเกิดใหม่ เขียนโดย ดร.จรัส
พยัคฆราชศักดิ์
สามารถสรุปเป็นที่มาของประเพณีการฝังศพครั้งที่ ๒ ได้ว่า
มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์มีความเชื่องเรื่องวิญญาณ ภูตผี ปีศาจต่างๆ
เชื่อกันว่าพลังชีวิต หรือวิญญาณมีอยู่ในหลักศิลา หรือก้อนหิน เทวดา
แม่โพสพสิงอยู่ตามพื้นดิน ต้นไม้ และอยู่ในพืชผลที่เขาปลูก และความเชื่อในอมตภาพหรือความไม่แตกดับของวิญญาณ
หรืออาตมันหรือชีวาตมัน เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดของสิ่งที่มีชีวิต
ชีวาตมันจะสิงสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิด เป็นสิ่งที่เที่ยง
ไม่แตกดับ อยู่คงกระพัน ไม่มีสิ่งใดสามารถทำอันตรายแก่ชีวาตมันได้
เมื่อคนหรือสัตว์ตาย ร่างกายเท่านั้นที่แตกดับเสื่อมสลายไป ส่วนชีวาตมันจะไม่แตกดับไปด้วย
มันจะออกจากร่างกายเก่าไปอาศัยอยู่ในร่างใหม่ ...ใกล้ๆกับร่างมนุษย์ที่ได้พบนั้น
ไม่เคยพบร่างเปล่า ยังพบเครื่องใช้ เช่น อาวุธ หรือเครื่องมือ
เครื่องภาชนะหลายอย่าง...เป็นเครื่องบอกให้รู้อย่างดีว่า ร่างกระดูกที่พบนั้น
เป็นสมัยหินหยาบ หรือสมัยหินขัด...ทำให้เข้าใจได้ว่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์ก่อนประวัติศาสตร์
ก็มีความคิดในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด มีความเชื่อในเรื่องตายแล้ว เกิดใหม่
เหมือนดวงอาทิตย์ที่ดับลงไปในเวลาค่ำ แล้วก็ขึ้นใหม่ในเวลาเช้า
...ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ฝังหรือเก็บศพให้นอนตะแคงข้าง หันหน้าไปทางตะวันตกโดยถือว่าคนตายก็เหมือนอาทิตย์ตก
ให้เขามองตามดวงอาทิตย์ที่ตกนั้น
แล้วก็ไปเกิดใหม่อย่างเดียวกับพระอาทิตย์ขึ้น(ดร.จรัส
พยัคฆราชศักดิ์,๒๕๓๔,๑๕๓)...และเพื่อป้องกันมิให้ศพนั้นลุกขึ้นมาทำอะไรใครได้
จึงต้องเอาหินมากองทับ แล้วยังมัดแข้งมัดขาเพื่อไม่ให้กลับลุกขึ้นได้
ซึ่งแนวคิดอย่างนี้ ก็ตรงกับลัทธิในทางอื่นๆ
ซึ่งได้แผ่เข้ามาจนกระทั่งถึงไทยเราจนทุกวันนี้ เช่น
เรื่องตราสังมัดศพ...นอกจากนั้นเพื่อไม่ให้ศพต้องกังวลออกไปหาเที่ยวอาหาร
จึงได้ทำหินให้เป็นรูปเหมือนภาชนะที่ใส่อาหารเอาไปเซ่นศพ
การเซ่นสรวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ได้เกิดขึ้นด้วยวิธีนี้
...ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในประเทศไทย ก็คือ หินตั้งเป็นวงกลมที่อำเภอสูงเนิน
จังหวัดนครราชสีมา ทุ่งไหหิน และทั่วไปในดินแดนประเทศลาว ยอดผาที่อำเภอโขงเจียม
จังหวัดอุบลราชธานี ที่เป็นเค้าว่าเป็นหินตั้งหรือคอกหินในสมัยก่อนประวัติศาสตร์...เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับแหล่งโบราณคดีบ้านสวายน้อย
ตำบลยางใหญ่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี จึงอาจสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า
ดินแดนของอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
เป็นดินแดนที่มีผู้คนอาศัยอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ซึ่งมิอาจระบุได้ว่าเป็นลักษณะที่เป็นสถานที่หรือบริเวณศักดิ์สิทธิ์หรือบอกขอบเขตของการทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งยังไม่สามารถที่จะชี้ชัดลงไปได้
................
อ้างอิงจาก
1.แหล่งโบราณสถาน โบราณคดี และ แหล่งท่องเที่ยว ในเขตอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี.กณวรรธน์ สุทธัง.อัดสำเนา 2550.
2.รายงานผลการสำรวจ แหล่งโบราณคดี บ้านสวายน้อย ตำบลยางใหญ่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี.สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี.2542,1-4.)
3.ดร.จรัส พยัคฆราชศักดิ์.อีสาน 1 ศาสนาและวรรณกรรมนิยมในท้องถิ่น.สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.2534.
................
อ้างอิงจาก
1.แหล่งโบราณสถาน โบราณคดี และ แหล่งท่องเที่ยว ในเขตอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี.กณวรรธน์ สุทธัง.อัดสำเนา 2550.
2.รายงานผลการสำรวจ แหล่งโบราณคดี บ้านสวายน้อย ตำบลยางใหญ่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี.สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี.2542,1-4.)
3.ดร.จรัส พยัคฆราชศักดิ์.อีสาน 1 ศาสนาและวรรณกรรมนิยมในท้องถิ่น.สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.2534.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น