การปฏิรูปการปกครองเมืองอุบลราชธานี สมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
การปรับปรุงการปกครองระยะแรก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงพยายามแก้ไขรูปแบบการปกครองของมณฑลลาวกาวให้เข้ากับลักษณะที่ใช้อยู่ในภาคกลาง
เช่น ทรงเปลี่ยนตำแหน่งเส้นที่ใช้เรียกตำแหน่งปกครองในท้องที่เรียกว่า แขวง
ผู้ปกครองเดิมที่เรียกว่านายเส้นนั้นเรียกว่า นายแขวง เป็นต้น
นอกจากนั้นยังดำเนินการเร่งด่วนในการปราบปรามนักการพนันและโจรผู้ร้ายเพื่อให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
พระองค์โปรดเกล้าฯให้เพิ่มตำแหน่ง “ตาแสง”สำหรับตรวจจับผู้ร้ายหมู่บ้านละ ๓ คน
และเพิ่มกองปราบให้มีหน้าที่ตรวจจับและปราบปรามทั่วไป (เหมือนตำรวจสันติบาลปัจจุบัน)
เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๗
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ยังทรงนำพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นหลักในการปกครองเมืองอุบลราชธานีซึ่งถือน้ำครั้งแรกเมื่อวันที่
๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๗ ณ วัดศรีทองวนาราม (ปัจจุบันคือวัดศรีอุบลรัตนาราม)
การปรับปรุงการปกครองระยะที่สอง พ.ศ.๒๔๓๗ ทางส่วนกลางประกาศใช้ระบบการปกครองและมณฑลเทศาภิบาล
และพ.ศ.๒๔๔๐ ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่รัตนโกสินทร์ ร.ศ.๑๑๖ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
ทรงปรับปรุงการปกครองเมืองอุบลราชธานีให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
โดยทรงยกเลิกตำแหน่งอาชญา ๔ และให้เรียกชื่อใหม่ดังต่อไปนี้
เจ้าเมือง เรียกว่า
ผู้ว่าราชการเมือง
อุปฮาด เรียกว่า
ปลัดเมือง
ราชวงศ์ เรียกว่า
ยกกระบัตรเมือง
ราชบุตร เรียกว่า
ผู้ช่วยราชการเมือง
ต่อมา
พ.ศ.๒๔๔๒
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯให้ชื่อเรียกเมืองชายพระราชอาณาเขต
๓ มณฑลตามชื่อพื้นที่ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศเรียกชื่อเมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองอุบลราชธานี
เมืองศรีสะเกษและหัวเมืองอื่นๆซึ่งรวมกันเป็นมณฑลลาวกาวนั้นว่า มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๒
และต่อมาวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๒
มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมพระราชทานศักดินาแก่เจ้านาย พระยา
ท้าวแสนเมืองประเทศราชเพื่อให้มีศักดิ์ สิทธิเทียบเท่ากับข้าราชการไทยทั่วไป
ประการสำคัญก่อให้เกิดปัญหาต่อการปกครองในระยะเวลาต่อมาคือปัญหาคนในบังคับต่างประเทศ
อาทิ ชาวลาว เขมร และญวน ซึ่งก่อปัญหาขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์จึงทรงให้สำรวจสำมะโนครัวและให้จดทะเบียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
โดยเฉพาะในปี ๒๔๔๒นั้น ฝรั่งเศสได้จัดตั้งกงสุล ณ เมืองอุบลราชธานี และเมืองนครราชสีมา
พระองค์จึงทรงออกประกาศเมื่อ
พ.ศ.๒๔๔๒
ตักเตือนให้ประชาชนตามหัวเรื่องที่อยู่ในบังคับบัญชาทุกคนมีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์
และปฏิบัติตามประกาศที่เผยแพร่ เป็นต้นว่า พึงเสียเงินส่วยตามหน้าที่
เมื่อมีคดีความร้องเรียนอย่างไร ถ้าไม่พอใจในคำตัดสินควรดำเนินการอย่างไร
นอกจากนั้นยังมีประกาศเกี่ยวกับการทำพิมพ์รูปพรรณสัตว์ ห้ามสักขาลาย
อนุญาตให้ใช้โป้งมือแตะเอกสารแทนการเขียนชื่อลงท้ายเอกสารต่างๆ
การปรับปรุงการปกครองระยะที่สาม พ.ศ.๒๔๔๓
มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้เรียกชื่อบางมณฑลใหม่เพื่อให้สั้นและเรียกง่าย
คือ
มณฑลตะวันออก เรียกว่า
มณฑลบูรพา
มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่า มณฑลอีสาน
มณฑลฝ่ายเหนือ เรียกว่า มณฑลอุดร
มณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่า มณฑลพายัพ
ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรูปแบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลแล้วมณฑลอีสานจึงรวมหัวเมืองเข้าเป็น
๕ บริเวณ คือ
บริเวณอุบลราชธานี มี ๓ เมือง ได้แก่ เมืองอุบล เมืองยโสธร เมืองเขมราฐ
บริเวณจำปาศักดิ์ มี ๑ เมือง คือ เมืองนครจำปาศักดิ์
บริเวณขุขันธ์ มี ๓ เมือง ได้แก่ เมืองขุขันธ์เมืองศรีสะเกษ
และเมืองเดชอุดม
บริเวณสุรินทร์ มี ๒ เมือง ได้แก่ เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ
บริเวณร้อยเอ็ด มี ๕ เมือง ได้แก่ เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ
เมืองมหาสารคาม เมืองกมลาสัย และเมืองกาฬสินธุ์
ส่วนการดำเนินงานของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
ที่ทรงปฏิบัติเมื่อเสด็จมาประทับ ณ เมืองอุบลราชธานีนั้น
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีต่อเมืองอุบลราชธานีอย่างยิ่ง
ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แต่การดำเนินงานดังกล่าวมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเจ้าเมืองและข้าราชการผู้ใหญ่บางคนที่ต้องหมดอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยได้รับ
จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดขบฎผู้มีบุญขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ.๒๔๔๔ การขบฏในครั้งนั้นแผ่ขยายอาณาบริเวณกว้างขวางทั่วภาคอีสาน
แต่มีความรุนแรงที่สุด ณ บริเวณเมืองอุบลราชธานี
ได้ปะทะกันจนเกิดการล้มตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น