วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ผ้าเมืองอุบลราชธานี


                                                                                                                         ผ้าเมืองอุบล






จังหวัดอุบลราชธานี   แม้ว่าพื้นที่บางส่วนจะถูกแยกไปตั้งเป็นจังหวัดยโสธรแล้ว  แต่ยังมีพื้นที่กว้างขวาง จากเหนือจรดใต้ ยาวประมาณ  300  กม.  ตะวันออกจรดตะวันตกประมาณ  200  ปีแล้ว ก็ยังมีชนกลุ่มน้อยที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเขตอำเภอชานุมาน  และอำเภอเสนางคนิคม  เชื้อสายข่ามีกระจัดจายอยู่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของจังหวัดเขตอำเภอชานุมาน  อำเภอโขงเจียม  และอำเภอบุณฑริกเชื้อสายส่วยและเขมร

อยู่ตอนใต้ของจังหวัด  แถบอำเภอเดชอุดม  อำเภอนาจะหลวย  อำเภอน้ำยืน และอำเภอบุณฑริก  และเชื้อสายไทยใหญ่ ( กุลา )  อยู่ในแถบอำเภอเขื่องใน   ความหลากหลายของเผ่าพันธ์ที่กระจัดกระจายอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานีนี้  ทำให้มีการปฏิบัติทางด้านประเพณีต่างๆ  ในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันออกไปอยู่บ้างแต่วัฒนธรรม

การแต่งกายส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปตามที่ชาวอุบลฯ  เชื้อสายลาวนิยมแต่งการแต่งกายและเสื้อผ้าของชาวอุบลในอดีตจะเห็นได้จากภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุบลฯ ในพระอุโบสถ  วัดทุ่งศรีเมือง  ซึ้งในช่วงเวลาที่วาดภาพจะอยู่ในช่วงปลายรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เป็นช่วงที่การติดต่อระหว่างเมืองอุบลกับภาคกลาง ( กรุงเทพฯ ) มากขึ้น ต่อมาในรัชกาลที่ 5  ได้มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ  ให้เมืองอุบลฯเป็นที่ตั้งของมณฑลลาวกาว  ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอีสานและมณฑลอุบลราชธานีตามลำดับ  ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ให้ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ปกครองมณฑลเหล่านี้  วัฒนธรรมการแต่งของชาววังจากกรุงเทพฯจึงได้เริ่มแพร่หลายมายังเมืองอุลฯ  ตั้งแต่สมัยนั้น แม้วัฒนธรรมการแต่งกายบางอย่างของชาวอุบลฯในสมัยนั้น อาทิหม่อมเจียงคำ  ซึ้งเป็นอุบลฯ ชายาในพระบรมวงค์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์การแต่งกายของชาวอุบลฯไว้ หลักฐานจากภาพถ่ายและผ้าที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าสุภาสตรีชาวอุบลสมัยนั้นนิยมนุ่งผ้าซิ่นลายล่อง  ทอด้วยไหมเงินหรือไหมคำ(ทอง) แล้วสวมเสื้อลูกไม้แบบชาวยุโรป ซึ่งเป็นการแสดงถึงฐานะของสตรีชั้นสูงของเมืองอุบล ฯ แทนที่จะนุ่งผ้าโจงกระเบนและสวมเสื้อลูกไม้เช่น สตรีชาววังในกรุงเทพ ฯ ผ้าซิ่นไหมเงินหรือไหมคำลายล่องจึงน่าจะเป็นเอกลักษณ์ของสตรีชั้นสูงชาวอุบลในสมัยนั้น  ในสมัยนั้นสตรีชาวอุบลยังได้ประกวดการทอผ้าไม่ว่าจะเป็นผ้าเยียระบับ(ผ้าไหมพื้น)และผ้าอื่น ๆ ผ้าเหล่านี้  มิอาจจะหาซื้อได้จากตลาดทั่ว ๆ ไป ผ้าเมืองอุบลจึงมีชื่อเสียงในด้านความสวยความงามและความประณีตในการทอมาตั้งแต่อดีต  หลักฐานปรากฏในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีถึงพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์(ตำแหน่งขณะนั้น) ต่อการที่พระเจ้าน้องยาเธอ  กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ได้ส่งผ้าไหมจากเมืองอุบลไปทูลเกล้าถวาย  สำเนาพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้อัญเชิญมาแสดงไว้นี้ ย่อมเป็นเครื่องชี้ชัดถึงความประณีต  สวยงาม และความสามารถในเชิงทอผ้าของชาวอุบลราชธานีเป็นอย่างดี นอกจากนั้นในสมัยพระพรหมเทวานุเคราะห์ครองเมืองอุบลได้ส่งผ้าพื้นเมืองทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและขุนนางผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก เช่น ทูลเกล้าถวายผ้าไหมลาวต่างสี ปีละ  100  ผืน  ผ้าขาวยาว  100  พับ เป็นต้น

การทอผ้าเป็นงานฝีมือที่กุลสตรีชาวอีสานในสมัยก่อนจะต้องเรียนรู้  โดยสืบทอดจากบรรพบุรุษ  เมื่อประกอบกับความสามารถพิเศษส่วนบุคคล  อิทธิพลสิ่งแวดล้อมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จึงได้ดัดแปลงปรับปรุงให้เกิดลวดลายใหม่ที่สวยงาม  กล่าวกันว่าการทอผ้าแต่ละผืนแม้ว่าจะใช้ช่างทอคนเดียวกันและใช้ลวดลายเดิมแต่ก็ไม่สามารถทำให้เหมือนเดิมทุกประการได้  เพราะการทอผ้าเป็นศิลปะที่ไม่อาจสร้างให้ซ้ำแบบได้ นี่เองคือมนต์ขลังแห่งลวดลายบนผืนผ้าทอมือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น