วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ย่างชม เดินดิน ยลถิ่นนารายณ์บรรทมสินธุ์

ดินแดนสามเหลี่ยมมรกต
งามงดพลาญเสือ
เหลือเฟืออัญญมณี
มากมีพืชเศรษฐกิจ
ถิ่นสถิตสถิตนารายณ์บรรทมสินธุ์
(คำขวัญ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี)

แผนที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

     
   จากคำขวัญของอำเภอน้ำยืน เป็นที่สงสัยของพี่ดาวมานาน เนื่องจากเป็นพนักงานของธนาคารรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งในอำเภอน้ำยืน ที่ได้ย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2538 ซึ่งก็มักจะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดภูน้อย แก่งลำดวน  สามเหลี่ยมมรกต พลาญเสือ สวนผลไม้  และยังเคยซื้อพลอยของอำเภอน้ำยืน(ทำแหวนแต่งงาน)  อำเภอน้ำยืนเป็นอำเภอที่ไกลจากอำเภอเมือง ประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งการเดินทางก็ไม่สะดวก ช่วงเย็นก็ไม่สามารถออกไปเที่ยวที่ไหนได้ เนื่องจากติดชายแดนเขมร และบางพื้นที่ยังมีระเบิดฝังอยู่ จึงค่อนข้างอันตราย พี่ดาวอยู่น้ำยืน 2 ปี จึงย้าย ไปปฏิบัติงานสาขาอื่น
          และในปี พ.ศ. 2553 พี่ดาวได้ขอย้ายกลับอำเภอน้ำยืน  ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของอำเภอน้ำยืน  เมื่อกลับมาสิ่งที่พบก็คือ อำเภอน้ำยืน มีถนนสายหลักกว้างมากๆ มีห้างสรรพสินค้า มีร้านค้าขนาดใหญ่ สำนักงานที่ย้ายกลับเข้ามาใหญ่มากๆ  ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่มีมาก โดยเฉพาะในฤดูหนาวเมื่อมองจากตำบลบุเปือยเข้ามาทางอำเภอน้ำยืน ขอบอกเลยว่า..สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย..เลยค่ะ และเมื่อมีเวลาก็จะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างเช่นเคย วัดภูน้อย แก่งลำดวน ช่องบก ฐานอนุพงษ์ ช่องอานม้า และทุกๆที่ที่มีโอกาส แต่สถานที่ที่ยังเป็นที่สงสัยคือ นารายณ์บรรทมสินธุ์  และไม่มีใครพูดถึงเลย 
จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2555 พี่คม(ท่านปลัด อบต.โดมประดิษฐ์) เข้ามาฝากเงินที่ธนาคารและได้ชวนดิฉันไปบวงสรวงนารายณ์บรรทมศิลป์ ซึ่งจัดโดยอบต.โดมประดิษฐ์ (ดีใจมากจะได้รู้ซะทีว่าอยู่ที่ไหน) แต่สิ่งที่พี่คม บอกต่อไปก็คือ ต้องเดินป่าประมาณ 12 กิโลเมตร   ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีห้องน้ำ อาหารต้องเตรียมไปเอง แต่ที่สำคัญที่สุดคือ น้ำดื่ม  (ในใจคิดเลยว่า..สบายมาก..ต้องไปๆ) จึงได้รับปากกะพี่คม...ไปแน่นอน  และได้ไปร่วมประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ท่านนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโดมประดิษฐ์ ระเด่น บุ้งทอง(ในขณะนั้น)  ได้แจ้งในที่ประชุมเรื่องการขึ้นไปบวงสรวงนารายณ์บรรทมศิลป์ ซึ่งท่านนายอำเภอน้ำยืน นายสมยศ รักษกุลวิทยา จึงได้ให้ผู้ที่ต้องการจะไปให้ยกมือ ซึ่งดิฉันยกมือคนเดียว(หันซ้ายหันขวา ไม่มีใครยกมือ)  จึงหันไปบังคับพี่เขียว(ท่านวัฒนธรรมอำเภอ) ให้ยกมือไปด้วย สรุปในวันนั้นมีไป 2 คน (ใจรู้สึก..น้อยจัง..แต่ก็จะไป เพราะความอยากรู้มีมากกว่า เพื่อนไปหาเอาข้างหน้า..ไปๆๆๆๆๆ)  แต่เมื่อถึงวันจะเดินทาง น้องกุ้ง(หน้าห้องท่านนายอำเภอ) โทรไปถามว่า พี่ดาว ที่จะไปนารายณ์ ไปแน่หรือเปล่า...ตอบทันที่เลย...แน่ใจค่ะ...น้องกุ้งก็บอกเลยว่า OK ขึ้นรถที่บ้านนาย(ท่านนายอำเภอ)
          และคืนนั้นก็นอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่จะได้เดินป่าครั้งแรกในชีวิต ไปนารายณ์สถานที่ใฝ่ฝันว่าต้องไปให้ได้  เลยเตรียมตัวเต็มที่ในการเดินทาง เช่น เต้นท์ เสื้อผ้า อุปกรณ์อาบน้ำ ไฟฉาย ยากันยุง อาหารแห้ง(มาม่ากระป๋อง 1 โหล เผื่อเพื่อนๆด้วย..)   ตื่นเช้ามากๆรีบออกไปบ้านนาย แต่งตัวเต็มที่ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าบูท(หนัง) เสื้อกันหนาว(ของทหาร)  7.00 น. ถึงบ้านนาย..หนูพร้อมแล้วค่ะ..สิ่งที่นายบอกคำแรกเลยคือ...เจ้าดาว..เปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบ..ดีกว่าไหม?  มีหรือนายพูดแล้วจะไม่เปลี่ยน..ก็รีบกลับไปเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบ (ในใจเกิดคำถาม..ทำไมต้องเปลี่ยน..อยากเท่นะ..)  และเมื่อเปลี่ยนรองเท้ากลับมา..ก็เจออีกคำพูดจากน้องๆ อส. ของนาย คือ พี่ดาวเสื้อกันหนาว(หนาและหนักมากๆ)ไม่ต้องเอาไป เกะกะเปล่าๆ (เกิดคำถามในใจอีกแล้ว..ทำไมๆๆๆ)เลยบอกว่า ถือไปก่อนจะเอาทิ้งไว้ในรถ  จากนั้นก็มีผู้ใหญ่อีกหลายๆท่านมาพร้อมกันที่บ้านนาย แล้วเราก็ออกเดินทางไปตำบลโดมประดิษฐ์  โดยรวมกันที่สวนสาธิตเกษตร ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม  ซึ่งเป็นศูนย์รวมก่อนที่จะออกเดินทาง อบต.โดมประดิษฐ์ จัดให้มีการลงทะเบียน แล้วรับข้าวห่อ(ข้าวเหนียว กะ หมูทอด) และน้ำดื่ม จำได้เลยว่าน้องกุ้ง เป็นผู้ที่เอาห่อข้าวมาให้ แต่ตนเองบอกน้องกุ้งไปว่า ..ไม่เป็นไรค่ะ พี่ดาวไม่ทานข้าวเช้า..(ทำเป็นเก่ง..ฮาฮา.)  และ ประมาณ 8.30 น. เราจึงเริ่มออกเดินทาง
          ในกลุ่มที่ร่วมเดินทางก็ได้แก่  ท่านนายอำเภอ ท่านนายกเทศบาลอำเภอน้ำยืน ท่านนายก อบต.โดมประดิษฐ์  ท่านนายกฯ อบต.ยางใหญ่  ท่านวัฒนธรรมอำเภอ น้องกุ้ง  อส. ประมาณ 6 คน แต่ก็มีอีกเยอะที่ทยอยกันเดินขึ้นไป  เดินไปได้ประมาณ 2 กิโลเมตร ความรู้สึกในขณะนั้น ใจเต้นแรง(ตื่นเต้นหรือเปล่า)  เหงื่อเริ่มหยด มองไปรอบๆเริ่มเป็นสีเหลือง เลยสะกิดน้องกุ้ง..พี่ดาวไม่ไหวแล้ว..จะเป็นลม...น้องกุ้งรีบให้หยุดพัก กลัวเป็นลม (ที่สำคัญคือ..ไม่มีใครอุ้มไหวแน่นอน)  ก็นั่งพัก กินข้าวเหนียว กะ หมูทอด(อร่อยที่สุดใน 3 โลกเลย)  ดื่มน้ำ  เลยนึกถึงคำพูดของนาย..เรื่องรองเท้า คำพูดของน้องๆ อส. เรื่องเสื้อ  โชคดีที่ปฏิบัติตามไม่งั้นเป็นลมตั้งแต่ 10 เมตรแรก จากนั้นก็เดินต่อ  เดินมาได้ 30 นาทีก็เจอสีเขียว ที่เขียวๆ เพราะมาถึงจุดที่เป็นลำโดมใหญ่  และเดินต่อไปก็เจอป้ายบอกจุดที่พัก เขียนว่า วังเวิน เป็นแอ่งน้ำใหญ่ๆ หน้าแล้ง ก็พากันนั่งพักล้างหน้า ล้างแขนขา คลายร้อนไปได้เยอะเลย  นั่งนานไม่ได้ต้องรีบเดินทางต่อ เดินๆๆๆๆๆ ตามทางต่อไป ไม่มีป้ายบอกระยะทาง เจอป่าที่ผ่านการถูกไฟ เจอกลุ่มเถาวัลย์แปลกตา ก็พักถ่ายๆ รูปไปเรื่อย มาถึงอีกจุดพักแล้ว จุดพัก
วังเดื่อ เป็นจุดพักที่ดีชอบมาก เพราะมีน้ำให้ดื่ม หน้าแล้งแบบนี้ก็มีน้ำ ที่ไหลออกมาจากตาน้ำบนเขา ถ้าใครน้ำหมดกรอกเก็บไว้ดื่มระหว่างทางได้ ซึ่งชาวบ้านจะเรียกว่า..น้ำจั้น..(น้ำที่ผุดจากใต้ดิน) เป็นน้ำดื่มที่เย็นมาก ดื่มแล้วชื่นใจ  ดื่มน้ำล้างหน้าล้างตานั่งพักสักครู่ก็ต้องรีบเดินทางต่อ เพราะยิ่งพักมากยิ่งเหนื่อย(ในใจร้องอยากกลับ...แต่ต้องสู้ๆๆๆ เพราะตั้งใจมากในการเดินทางครั้งนี้) ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้..(สั่งตัวเอง)....แล้วก็เดินๆๆๆๆ จากนั้นความรู้สึกที่ตามมาคือ..ทำไมขาเราถึงหนักขึ้นเรื่อย ไม่ไหวแล้วๆๆๆ  สิ่งที่ตามมาคือทรุดลงนั่ง อยากร้องไห้  ปวดขามากๆ  เพราะเราต้องเดินข้ามสะพานไม้ที่เอามาพาดไว้พอให้เดินข้าม ปีนขึ้นบ้าง ลงบ้าง ปีนก้อนหิน โดยเฉพาะเดินผ่านป่าที่ถูกไฟไหม้เหมือนไม่มีอากาศหายใจ  สิ่งที่ท่องอยู่ในใจคือ ไม่ไหวๆๆๆๆๆ  บางครั้งก็ทิ้งตัวลงนอนไปเลย มอมแมมมากๆ  บ้างก็เป็นตะคริวไปไม่ไหวจนได้ท่านกำนันทำนอง มานวดขาให้ไม่งั้นไปไม่ได้  และแล้วความรู้สึกที่ว่า..เป็นตัวถ่วงคนอื่นก็เริ่มเข้ามาในความคิด..ไม่ได้ๆๆๆทำให้คนอื่นๆช้าไปด้วย  จึงเปลี่ยนวิธีเดินใหม่คือ ร้องเพลง บางครั้งก็ร้องโวยวาย มีน้ำหวานๆเย็นๆรออยู่ข้างหน้า  ก็พอจะได้กำลังใจขึ้นมาบ้าง  และในที่สุดก็ไม่ได้ถืออะไรเลย ทุกคนที่ร่วมทางไปด้วยเอาไปช่วยถือหมด เดินๆๆๆๆ เหนื่อยๆๆๆๆ (จนลืมไปเลยว่าตัวเองมาเพื่ออะไร)  เวลากินน้ำก็ทั้งกินทั้งอาบด้วยเพราะร้อนมากๆ เป็นการเดินทางที่โหดมากสำหรับพี่ดาว
เดินทางต่อจนกระทั่งเกือบ 15.00 น.เราเดินทางถึงจุดหมาย แต่ก็ต้องเดินผ่านลานหินซึ่งเป็นธารน้ำตกซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้ง เมื่อไปถึงสิ่งที่ได้ดื่มคือ ยาต้มแก้ปวดเมื่อย(ลองดู)  แต่ก็ช่วยความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้ จากนั้นก็หาที่พักกัน  เลือกได้เลยว่าจะนอนตรงไหน เพราะที่พักจะเป็นลานหินซึ่งเป็นทางของน้ำในฤดูฝน  เนื่องจากมีโอกาสเดินทางร่วมกับท่านนายอำเภอ จึงได้รับความสะดวกในเรื่องที่นอน ซึ่งทาง อส. ได้ไปจัดหาที่พักใกล้กับลำน้ำ ซึ่งน้ำใสเย็นมาก หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว จึงพากันเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่ออาบน้ำ
ทุกคน รวมทั้งท่านนายอำเภอต่างก็พากันอาบน้ำ พอลงน้ำ ความสนุกก็มาเยือน ทุกคนเล่นน้ำที่ใส เย็น และลึก  แล้วพี่คมก็เอาแพไม้ไผ่ (ไม้ไผ่มัดรวมกันประมาณสัก 10 ต้น) มาให้เกาะลอยน้ำ(ว่ายน้ำไม่เป็น) แล้วพี่คมก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับน้ำตกที่เรากำลังเล่น ว่าที่นี่เป็นต้นน้ำที่ไหลลงไปเป็นลำโดมที่หล่อเลี้ยงชาวตำบลโดมประดิษฐ์ ผ่านไปอำเภอเดชอุดม ผ่านไปอำเภอพิบูลมังสาหาร และเคยเป็นแหล่งที่พบจระเข้น้ำจืด(โอ้..แม่เจ้า  เริ่มกลัวแล้วซิ)  มองไปรอบๆแล้วขนลุก เนื่องจากออกมาไกลมาก  พี่คมเห็นสีหน้าเริ่มไม่ดี พี่คมเลยหัวเราะชอบใจ บอกไม่มีแล้วถึงมีก็คงจะอยู่บนเขาโน้น เราอยู่แค่ครึ่งทาง ไม่มีใครเห็นจระเข้ เราเล่นน้ำกันจนเย็นจึงขึ้นจากน้ำ ที่พักก็นอนกับน้องกุ้ง ส่วนท่านนายอำเภอ และพี่ๆ ต่างก็กางเต้นท์ ผูกเปลนอนบ้าง เดี๋ยวค่ำแล้วจะมืดไม่มีไฟฟ้า แล้วมื้อเย็นของเราทำไง โชคดีไปกะนายอำเภอ น้องกุ้งและน้องๆ อส. ก็หาอาหารให้ท่านนายอำเภอ ก็แบบง่ายๆคือ ข้าว กะหมูทอดที่เหลือจากมื้อเช้า มาม่า แล้วก็ปลาย่าง(ชาวบ้านหาในน้ำตก)   
ประมาณ 19.00 น. เสียงเคาะไม้ไผ่ก็ดังขึ้นเพื่อให้ทุกคนไปรวมกันที่ลานหิน เพื่อร่วมกิจกรรมรอบกองไฟ ซึ่งประธานพิธีคือ ท่านนายอำเภอสมยศ รักษกุลวิทยา เป็นผู้กล่าวเปิดงาน จากนั้นก็เป็นการเล่าประวัติการพบภาพเกะสลักนารายณ์บรรทมศิลป์ โดยพ่อจ้ำ(นายหนูกรณ์ ภาโว) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของผู้ค้นพบภาพแกะสลักนารายณ์บรรทมศิลป์
ในปี พ.ศ.2520  นายสำรอง โลกุ นายเดช สารัตน์  นายหนูสิน ภาโว และนายพรานตึ๋ง  4 นายพรานได้พากันขึ้นมาหาปลา บริเวณวังมน ขณะที่นั่งพักก็มองไปในน้ำ เห็นฝูงปลาจำนวนมากว่ายวนไปวนมา จึงได้ชวนกันลงน้ำเพื่อจะจับปลา จึงได้พบกับภาพแกะสลักนารายณ์บรรทมศิลป์อยู่ในน้ำ เมื่อกลับไปเล่าเรื่องการเจอภาพแกะสลักนารายณ์
ในปี พ.ศ. 2524 พระอาจารย์หนู ได้ปรึกษาชาวบ้านว่าอยากเอาไปไว้ที่วัด ได้นำชาวบ้านมาตัด แต่ไม่สามารถตัดได้ (ยังมีรอยตัดปรากฏให้เห็น) และหลังจากนั้นก็มีเหตุให้ผู้ที่มาตัดต้องมีอันจบชีวิต ยังคงมีพ่อหนูสิน ภาโว ที่ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังมีท่านนายก อบต.โดมประดิษฐ์ ระเด่น บุ้งทอง(สมัยนั้น) เป็นผู้กล่าวประสงค์ของการจัดงาน และ พ.ศ.2534 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีก็ได้เสด็จด้วยพระบาทข้ามป่าข้ามเขาระยะทาง 14 กิโลเมตรไปทอดพระเนตรนารายณ์บรรทมสินธุ์  จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
หลังจากแยกย้ายกันพักผ่อน ทุกคนก็กลับที่พักของตน บ้างก็นอน บ้างก็กิน เนื่องจากยังมีชาวบ้านไปหาปลาในวังน้ำที่เราอาบได้ปลาจำนวนมาก ต่างก็มีการแจกจ่ายแบ่งปันกันไป  ส่วนพี่ดาวก็นอนกับน้องกุ้ง  ถัดไปก็เป็นเต้นท์ของท่านนายอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการที่มาพร้อมกัน แต่ก็ปรากฏว่าต่างก็นอนไม่หลับ เนื่องจากตรองที่เรานอนเป็นลานหิน ซึ่งก็ยังร้อน(ไม่มีผ้ารอง) และอยู่ในเต้นท์ก็ร้อนมาก พี่ดาวกับน้องกุ้ง ก็ออกมานอนเล่นกันนอกเต้นท์ ก็พบว่าหลายๆท่านก็นอนไม่หลับเช่นกัน จึงพากันนั่งๆนอนๆคุยกันอยู่นอกเต้นท์ 
ดาวบนท้องฟ้าสวยมาก  เนื่องจากไม่มีแสงไฟฟ้า มองไปที่ไหนก็มืดสนิท บนท้องฟ้าดาวเต็มท้องฟ้าสวยมาก  เลยนอนคุยกันจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้  ได้ยินเสียงนายเรียก เจ้าดาว เจ้ากุ้ง เข้าไปนอนในเต้นท์ได้แล้วดึกแล้ว  งัวเงียตื่นขึ้นก็ค่ะ พากันเข้าเต้นท์นอน(สงสัยกรนดังนายรำคาญ..555) พอตื่นแล้วก็หลับอยาก นอนพลิกไปพลิกมา เอาแล้วซิ..ปวดฉี่..ทำไงดี...ไม่ไหๆๆ  เลยเรียกน้องกุ้ง  พี่ดาวปวดฉี่  น้องก็ตื่นพาออกไป เสียงเดินเข้าป่า ก็ทำเอาน้องๆ อส. ที่นอนในป่าถามว่าจะทำอะไรครับ..ปวดฉี่คร้า... น้องๆพากันหัวเราะชอบใจ  ก็บอกให้เดินเข้าในพุ่มไม้หลับตาก็ไม่เห็นใครแล้ว..(เออใช่หว่ะ)  และนั่นก็เป็นการเข้าห้องน้ำแบบธรรมชาติครั้งแรกท่ามกลางผู้คนมากมายเหมือนกัน  จากนั้นก็กลับไปนอน
เสียงผู้คน เสียงเท้าเดินไปเดินมา (โอ๊ยอะไรกันนักหนา)  นอนงัวเงียพลิกไปพลิกมา  โอ๊ยปวดตัวไปหมด ลืมตาขึ้น อ้าวน้องกุ้งไหน เลยลุกขึ้นออกมาล้างหน้าตา ทั้งนาย และพี่ๆหัวหน้าส่วนราชการต่างก็พากันตื่นหมดแล้ว สักพักน้องกุ้งกับ อส.ต่างก็หิ้วกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำร้อนมาให้เพื่อดื่มกาแฟ(ยาเสพติดชนิดหนึ่ง5555) 
ประมาณ 7.00 น.สียงเคาะไม้ไผ่ก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณเรียกให้ไปรวมกันที่ภาพแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ เพื่อทำพิธีบวงสรวง จากนั้นก็ไปรวมตัวกัน โดยมีท่านนายอำเภอสมยศ   รักษกุลวิทยา เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชา มีพ่อจ้ำ(นายหนูกร ภาโว) เป็นผู้ทำพิธี ซึ่งของไหว้ก็คือ หัวหมู เหล้า น้ำ ผลไม้ ขนม ดอกไม้  หลังจากพิธีเสร็จต่างก็เตรียมตัวเก็บข้าวของสัมภาระเตรียมตัวกลับบ้าน
ประมาณ 10.00 น. ทุกคนต่างเริ่มทยอยกลับ ซึ่งรวมถึงคณะของเราก็เริ่มเดินทาง ขากลับรู้สึกสบายกว่าขาขึ้นมาก (ก็สบายนะซิไม่ได้ถืออะไรเลย น้องๆ อส.เอาไปช่วยถือหมด ให้พี่ดาวเอาตัวเองให้รอดก็พอ555) เพราะต้องรีบลงไปเพราะจะมีพิธีผูกแขนรับขวัญข้างล่างต้องรีบๆๆๆ...ก็พยายามแข็งใจเดินๆๆๆๆพักให้น้อยที่สุด จนลืมที่จะดูความสวยของธรรมชาติเหมือนที่ขึ้นมา  ยิ่งใกล้จะถึงขาก็ยิ่งหนักมากโดยเฉพาะ 500 เมตรสุดท้าย ไม่ไหวจริงจนต้องมีคนให้เกาะ คือคุณพ่อสุวรรณ กับท่านนายกหลาง(ท่านหิ้วน้ำดื่มให้ตลอดทาง) เสียงเชียร์พี่ดาวสู้ๆ ดังมาทำให้พี่ดามีแรงเดินต่อ(น้ำตาซึม เหนื่อยมาก) กัดฟันเดินจนถึงที่หมาย สิ่งแรกที่ทำคือ นอนแผ่ลงกับที่เลย เปื้อนก็ช่าง ไม่สนใจอะไรเลย เหนื่อยมาก  แต่เสียงชมทำให้มีแรงสู้อีก ลุกขึ้นมาเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้แก่ของบ้านผูกแขนรับขวัญให้  แต่ก็ต้องกราบขออภัยท่านเนื่องจากเดินเข่าไม่ได้เลย ซึ่งท่านก็ให้อภัย ก็ใช้วิธีเดินก้มให้ท่านผูกให้  และก็ร่วมรับประทานอาหารก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน และหลังจากนั้นมาใครๆเจอหน้าก็จะถามว่า ไปอีกไหม? พี่ดาวตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่า..ไปแน่นอนค่ะ...ก็ขึ้นไป 3 ครั้งแล้ว จนพ่อหนูกร ภาโว บอกว่าพี่ดาวเป็นลูกนารายณ์
ปี พ.ศ.2555 ครั้งที่ 1 เดินทางร่วมกับ ท่านนายอำเภอ สมยศ รักษกุลวิทยา
ปี พ.ศ.2556 ไม่ได้เดินทางเพราะติดงานปิดบัญชีสิ้นปีของธนาคาร
ปี พ.ศ.2557 ครั้งที่ 2 เดินทางร่วมกับท่านปลัดอาวุโส เขมราฐ ขัมภะรัตน์ รักษาการนายอำเภอน้ำยืน
ปี พ.ศ.2558 ครั้งที่ 3 เดินทางร่วมกับ ท่านนายอำเภอเกริกชัย ผ่องแผ้ว และคุณนาย ซึ่งในขณะนั้นพี่ดาวต้องไปปฏิบัติหน้าที่ที่ สาขาดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร ซึ่งในครั้งนี้ได้มีลูกสาว น้องเมย์ (ขวัญชนก ถิ่นตองโขบ) ตามขึ้นไปด้วย


ขอขอบพระคุณ คุณดาราวดี  ถิ่นตองโขบ -ผู้เล่าเรื่อง


ส่วนหนึ่ง ของคณะเดินทางเพื่อบวงสรวงภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ 12 มีนาคม 2559


ท่านนายอำเภอน้ำยืน (จ.ส.อ.เกริกชัย ผ่องแผ้ว)

หมายเหตุ อำเภอน้ำยืน  ได้กำหนดพิธีบวงสรวง ภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ ในห้วงเดือน มีนาคม – เมษายน ของทุกปี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น